การเจียระไนเพชรเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการประเมินคุณภาพเพชร ตามมาตรฐาน 4C ที่สถาบัน GIA กำหนดไว้ แล้วการเจียระไนเพชรคืออะไร? มีกี่ปัจจัยที่ใช้ในการประเมินการเจียระไนเพชรให้สมบูรณ์แบบ? มาร่วมศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการเจียระไนเพชรในบทความด้านล่างนี้กันเลย!
การเจียระไนเพชร (Cut) คืออะไร?
การเจียระไนเพชร (Diamond Cut) เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของมาตรฐาน 4C ที่กำหนดโดย GIA แสดงถึงความสมมาตร ความเงางาม และสัดส่วนที่ทำให้เกิดการสะท้อนแสง และสร้างความเปล่งประกายที่ดึงดูดให้กับเพชรเม็ดนั้น
การเจียระไนเพชรต้องเป็นไปตามเกณฑ์ เช่น ความหนาของขอบเพชร (Girdle) ความสมมาตรของเหลี่ยม คุณภาพการขัดเงา และอัตราส่วนระหว่างน้ำหนักกับเส้นผ่านศูนย์กลาง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการประเมินคุณภาพของเพชร
ความหมายที่สำคัญ
เพชรที่ถูกเจียระไนอย่างสมบูรณ์แบบจะมอบทั้งคุณค่าด้านความงามและมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่การประเมินการเจียระไนถือเป็นปัจจัยที่ยากที่สุดในบรรดา 4C ของเพชร ต่อไปนี้คือ 3 ความหมายสำคัญของการเจียระไนเพชร
- ความสว่าง: การสะท้อนแสงจากสิ่งแวดล้อมและสร้างแสงสีขาวระยิบระยับให้กับเพชร
- ไฟ (Fire): การกระจายของแสงสีขาวออกเป็นแถบสีรุ้งหลากหลายสี
- ความระยิบระยับ (Scintillation): ความแตกต่างระหว่างพื้นที่สว่างและมืดในเหลี่ยมของเพชร เพื่อสร้างความเปล่งประกายที่งดงาม
องค์ประกอบของการเจียระไนเพชร
การเจียระไนส่งผลโดยตรงต่อความสว่างและรูปทรงของเพชร โดยการเจียระไนเพชรจะประกอบด้วย 7 ส่วนหลัก ดังนี้:
- Table: คือด้านบนสุดของเพชร และเป็นพื้นผิวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่สัมผัสกับแสง
- Crown: ส่วนที่กว้างที่สุดของเพชร เริ่มจากขอบของ Table ลงไปถึง Girdle
- Girdle: เส้นรอบวงของเพชร เป็นจุดเชื่อมระหว่าง Pavilion และ Crown กำหนดเส้นผ่านศูนย์กลางของเพชร
- Diameter: คือการวัดจากด้านหนึ่งของเพชรไปยังด้านตรงข้าม
- Pavilion: ส่วนล่างของเพชรที่ทอดจาก Girdle ลงไปถึง Culet
- Culet: ด้านที่เล็กที่สุดของเพชร อยู่ตรงข้ามและขนานกับ Table
- Depth: ความลึกของเพชร วัดจาก Table ลงไปถึง Culet
เกณฑ์การจัดระดับการเจียระไนเพชร
การจัดระดับการเจียระไนเพชรมักแบ่งตาม 3 ปัจจัยหลัก คือ สัดส่วน ความสมมาตร และคุณภาพการขัดเงา ในแต่ละระดับเพชรจะมีความงามที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทั้งสาม และให้ระดับการสะท้อนแสงที่ต่างกันออกไป เกณฑ์การเจียระไนเพชรจะถูกจัดลำดับดังนี้:
- Excellent (ยอดเยี่ยม/สมบูรณ์แบบ)
- Very Good (ดีมาก)
- Good (ดี)
- Fair (ปานกลาง)
- Poor (ต่ำ/ไม่ดี)
ปัจจัยที่ใช้ในการประเมินการเจียระไนเพชรที่สวยงาม
ความลึกของการเจียระไน
ความลึกของการเจียระไนมีความสำคัญมาก วัดจากด้านบนสุด (Table) ถึงก้นเพชร (Culet) อย่างไรก็ตาม ความลึกต้องสมดุลกับความกว้างของเพชรเพื่อให้ได้การสะท้อนแสงที่สวยที่สุด
หากการเจียระไนตื้นเกินไป แสงจะรั่วออกทางด้านล่างแทนที่จะสะท้อนขึ้นสู่ผิวหน้าเพชร ในทางกลับกัน หากลึกเกินไป จะไม่เพียงทำให้การสะท้อนแสงลดลง แต่ยังทำให้เพชรดูเล็กกว่าเพชรที่มีน้ำหนักเท่ากันอีกด้วย
นอกจากนี้ เพชรที่มีความลึกในอุดมคติจะให้การสะท้อนแสงที่สมบูรณ์แบบ ส่งผลให้เพชรดูเปล่งประกายและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ความเงางามของพื้นผิว
ความเงางามบนพื้นผิวจะช่วยให้เพชรมีความสว่างสดใส หลังจากที่ช่างอัญมณีทำการเจียระไนรูปทรงแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการขัดผิวเพชรให้เรียบเงา
เพชรที่มีการขัดผิวอย่างสมบูรณ์แบบจะไม่เพียงช่วยให้แสงเข้าและออกได้ง่ายขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มความระยิบระยับและความเปล่งประกายให้กับเพชรอีกด้วย
ความสมมาตรของเหลี่ยม
โดยทั่วไป เพชรหนึ่งเม็ดจะมีทั้งหมดประมาณ 57 เหลี่ยม ช่างเจียระไนต้องวัดและจัดเหลี่ยมให้สมมาตรและสมดุลตามหลักคณิตศาสตร์ เพื่อให้แสงที่เข้าสู่เพชรสะท้อนออกมาได้อย่างสมบูรณ์และเพิ่มความเปล่งประกาย
8 รูปแบบการเจียระไนเพชรยอดนิยมในปัจจุบัน
นอกจากคุณภาพของการเจียระไนแล้ว ปัจจุบันยังมีรูปแบบการเจียระไนเพชรที่หลากหลาย คุณสามารถเลือกแบบที่นิยม เช่น Round, Asscher, Emerald หรือแม้แต่ Heart ตามความชอบส่วนตัว
Round (เจียระไนทรงกลม)
การเจียระไนแบบ Round เป็นหนึ่งในรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก และเป็นที่ชื่นชอบอย่างยิ่งในเวียดนาม จุดเด่นคือความอเนกประสงค์ เหมาะกับเครื่องประดับหลากหลายประเภท เช่น แหวน สร้อยคอ ต่างหู และกำไล
Princess (เจียระไนทรงเจ้าหญิง)
การเจียระไนเพชรแบบ Princess เป็นรูปแบบสมัยใหม่ที่พัฒนามาจาก Round แบบดั้งเดิม ลักษณะเด่นคือมีรูปทรงสี่เหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า พร้อมมุมแหลมทั้ง 4 มุม ให้ความรู้สึกหรูหรา ทันสมัย และไม่เหมือนใคร
Emerald (เจียระไนทรงมรกต)
การเจียระไนแบบ Emerald มักทำให้เพชรมีรูปทรงสี่เหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยมจัตุรัส รวมทั้งหมด 57 เหลี่ยม โดยแต่ละเหลี่ยมเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวที่มีมุมโค้ง เหลี่ยมถูกจัดเรียงเป็นสองชั้น ชั้นบนและชั้นล่าง เพื่อสร้างเอฟเฟกต์การสะท้อนแสงที่สวยงามและระยิบระยับ
Asscher (เจียระไนทรงสี่เหลี่ยมซ้อนขั้น)
การเจียระไนแบบ Asscher เป็นรูปแบบที่โดดเด่น เหลี่ยมถูกจัดวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ สร้างเอฟเฟกต์ 3 มิติและการสะท้อนแสงที่ยอดเยี่ยม ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลัง เนื่องจากให้ความรู้สึกหรูหรา ละเมียดละไม และมีเสน่ห์ที่ไม่ซ้ำใคร
Marquise (เจียระไนทรงมาร์คีส์ / ทรงเมล็ดข้าว)
การเจียระไนแบบ Marquise เป็นหนึ่งในรูปแบบที่มีเสน่ห์และไม่เหมือนใคร ลักษณะคล้ายเมล็ดข้าว มีปลายแหลมทั้งสองด้านและตรงกลางโค้งมนเล็กน้อย สามารถสะท้อนแสงได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เกิดประกายแสงที่ระยิบระยับ
Pear (เจียระไนทรงลูกแพร์)
การเจียระไนแบบ Pear เป็นหนึ่งในรูปแบบที่สวยงามและประณีตที่สุด ถือเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง Oval และ Marquise ทำให้เกิดรูปทรงที่โดดเด่นและไม่เหมือนใคร ชื่อ Pear มาจากรูปร่างที่คล้ายลูกแพร์ โดยมีด้านหนึ่งกลมและอีกด้านหนึ่งแหลม
Oval (เจียระไนทรงวงรี)
การเจียระไนแบบ Oval มีทั้งหมด 58 เหลี่ยม สร้างรูปทรงเรียวยาวและสง่างาม ไม่ล้าสมัย เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความทันสมัยและความคลาสสิก มอบความหรูหราและมีเสน่ห์ให้กับผู้สวมใส่
Heart (เจียระไนทรงหัวใจ)
การเจียระไนแบบ Heart ได้รับแรงบันดาลใจจากสัญลักษณ์แห่งความรักและความสุข คือรูปหัวใจ ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตและละเอียดอ่อน มักใช้ในแหวนที่มีความหมายด้านความรัก เช่น แหวนหมั้น แหวนแต่งงาน หรือแหวนขอแต่งงาน
หลังจากอ่านบทความนี้ หวังว่าคุณจะเข้าใจแล้วว่า การเจียระไนเพชรไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อมูลค่าในตลาด ช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุน และดึงดูดความชื่นชอบจากผู้หลงใหลในเครื่องประดับ ดังนั้น เมื่อเลือกซื้อเพชร การเจียระไนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เพื่อให้คุณได้ครอบครองอัญมณีที่สมบูรณ์แบบทั้งด้านความงามและมูลค่า